วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Breakfast at McDonald's

เรื่องดี ดี ..ที่สมควรต้องแบ่งปัน
จาก: saisoothi.wanna@th.michelin.com [saisoothi.wanna@th.michelin.com]
ส่ง: 10 กุมภาพันธ์ 2010 18:49
----------------------------

รับเมื่อเย็นวาน อ่านแล้ว.. เพิ่งมีเวลาแปลให้คร่าวๆ (ถูก-ผิด ก็ อย่าถือสา แปล ตาม ที่ "ใจ" อ่าน ได้.. ) แปลเพื่อ หลานๆ จ้ะ.. ยังไงก็ต้องอ่านภาษาอังกฤษด้วยนะ..

วันที่ 17 กพ. วันพุธ รับ เถ้า .. เริ่มเทศกาลมหาพรตแล้ว มหาพรตปีนั้ มารวบรวมสตางค์ที่เหลือจากค่าขนมประจำวัน ใส่กระปุก เพื่อนำไปมอบให้ผู้ยากไร้ กันอีก ดี มะ มาขอรับ กระปุก..ได้ ที่ ป้า(แดงยัง)แจ๋ว..นะจ๊ะ

ได้ตัดช่วงสุดท้ายทิ้งมากมาย.. เพราะเป็นเรื่องโน้มน้าวใจให้ส่งต่อ เห็นว่า ข้อความเช่นนี้ แค่ส่งต่อก็ได้ความสุขเต็มหัวใจแล้ว จะต้องการสิ่งตอบแทนอื่นใดอีกทำไม... ขอให้ ความสุข อบอวล อยู่ รอบๆ ตัว.. ตลอดเวลา
-------------------------------------------------------------

Breakfast at McDonald's
อาหารเช้าที่ร้านแมคโดนัล

This is a good story and is true, please read it all the way through until the end! (After the story, there are some very interesting facts!):
เรื่องดี ดี นี้ เป็นเรื่องจริง, ขอให้อ่านจนจบ

I am a mother of three (ages 14, 12, 3) and have recently completed my college degree.
ฉันเป็นคุณแม่ลูก 3 และเพิ่งสำเร็จการศึกษามาหมาดๆ

The last class I had to take was Sociology.
เรียน สังคมวิทยา เป็นวิชาสุดท้ายก่อนจบ

The teacher was absolutely inspiring with the qualities that I wish every human being had been graced with.
อาจารย์ผู้สอนเปี่ยมล้นคุณภาพในการสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งฉันหวังว่ามนุษย์ทั้งมวลจะได้ชื่นชมยินดี

Her last project of the term was called, 'Smile.'
งานชิ้นสุดท้่ายที่เธอมอบหมาย.. ให้ชื่อว่า "รอยยิ้ม"

The class was asked to go out and smile at three people and document their reactions.
เธอขอให้นักเรียน ไป "ยิ้ม" กับคนนอกบ้านสามคน และเขียนบทความเกี่ยวกับปฏิกิริยาที่ได้รับ

I am a very friendly person and always smile at everyone and say hello anyway. So, I thought this would be a piece of cake, literally.
ฉันเป็นพวกมนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยม ยิ้มแย้มได้กับทุกคน และมักจะทักทายใครๆ อยู่้้เสมอ, ฉันก็เลยรู้สึกว่า งานชิ้นนี้ หมูสิ้นดี

Soon after we were assigned the project, my husband, youngest son, and I went out to McDonald's one crisp March morning.
หลังจากได้รับมอบหมายงานนี้ไม่นาน, ฉันพร้อมกับสามีและลูกชายคนเล็ก ได้ไปที่ร้าน แม็คโดนัล ในเช้าวันอันสดใสของเดือนมีนาคม

It was just our way of sharing special playtime with our son.
เป็นวันสบายๆ กับลูกชายของเรา

We were standing in line, waiting to be served, when all of a sudden everyone around us began to back away, and then even my husband did.
ขณะเข้าแถว เพื่อรอสั่งอาหาร.. แล้ว อยู่ๆ ทันใด ทุกๆ คน รอบตัวเราก็ถอยห่างออกไปจากแถว.. รวมสามีฉันด้วย

I did not move an inch... an overwhelming feeling of panic welled up inside of me as I turned to see why they had moved.
ฉันไม่ได้ขยับสักนิ้ว.. กับความรู้สึกตื่นตัวที่เข้าครอบงำ เมื่อหันไปมองว่าเขาถอยหนีสิ่งใดกัน

As I turned around I smelled a horrible 'dirty body' smell, and there standing behind me were two poor homeless men.
เมื่อหันไป ก็ปะทะเข้ากับกลิ่นเหม็นฉุนเฉียวของคนที่ไม่เคยได้อาบน้ำ.. ข้างหลังฉัน คน จร จัด(ยากไร้และไม่มีที่อยู่อาศัย)สองคน ยืนอยู่

As I looked down at the short gentleman, close to me, he was 'smiling'
ฉันก้มลงมองคุณผู้ชายที่ตัวเตี้ยกว่า ที่ ยืน ชิด... เขา ส่ง "รอยยิ้ม" มาให้

His beautiful sky blue eyes were full of God's Light as he searched for acceptance.
ดวงตาสีฟ้าใสสวยงามของเขา ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างสุกใสของพระเป็นเจ้า ผู้กำลัีงค้นหา การ เป็น ที่ ยอม รับ

He said, 'Good day' as he counted the few coins he had been clutching..
เขากล่าวว่า "สวัสดีครับ" ขณะนับเศษเหรียญไม่กี่เหรียญในอุ้งมือ(ประโยคนี้...้ไม่รู้จะแปลยังไงดี)

The second man fumbled with his hands as he stood behind his friend. I realized the second man was mentally challenged and the blue-eyed gentleman was his salvation.
ชายคนที่สองยืนอยู่ข้างหลังเพื่อนอย่างเร่งเร้า ฉันจึงตระหนักว่าชายคนที่สองนั้นเป็นพลังใจ เพื่อให้สุภาพบุรุษนัยน์ตาสีฟ้าเป็นผู้ฝ่าฟันวิกฤติ

I held my tears as I stood there with them.
ฉันยืนกลั้นน้ำตาอยู่ตรงนั้นกับเขาทั้งสอง

The young lady at the counter asked him what they wanted..
พนักงานขายที่เคาน์เตอร์ถามว่า เขาต้องการซื้ออะไร

He said, 'Coffee is all Miss' because that was all they could afford. (If they wanted to sit in the restaurant and warm up, they had to buy something. He just wanted to be warm)."
ขอแค่กาแฟ ครับ" , ก็เค๊ามีเงิน เพียงพอจะซื้อได้แค่นั้น (ถ้าคุณต้องการจะนั่งในร้านอาหารเพื่อความอบอุ่น คุณต้องซื้อของรับประทาน..เวลานี้ พวกเขาแค่ต้องการ ความ อบ อุ่น..เท่านั้นเอง)

Then I really felt it - the compulsion was so great I almost reached out and embraced the little man with the blue eyes.
ให้ตายซิ..เกิดแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ภายในใจ ฉันเกือบจะเข้าไปสวมกอด ชายร่างเล็กผู้มีนัยน์ตาสีฟ้า

That is when I noticed all eyes in the restaurant were set on me, judging my every action.
แล้วก็รู้สึกตัวว่า ดวงตาทุกคู่ของคนในร้านจ้องเป๋งมาที่ฉัน .. พิจารณา ดู ทุก ขณะ

I smiled and asked the young lady behind the counter to give me two more breakfast meals on a separate tray.
ฉัน "ยิ้ม" และแจ้งพนักงานขายที่หลังเคาน์เตอร์ ขอเพิ่มอาหารเช้าอีกสองชุด แยกใส่ถาดอีกใบ

I then walked around the corner to the table that the men had chosen as a resting spot. I put the tray on the table and laid my hand on the blue-eyed gentleman's cold hand.
แล้วฉันก็เดินอ้อมไปที่โต๊ะซึ่งชายทั้งสองเลือกเป็นจุดนั่งพัก..วางถาดอาหารให้บนโต๊ะ พร้อมกับวางมือลงบนมือเยียบเย็นของสุภาพบุรุษนัยน์ตาสีฟ้า

He looked up at me, with tears in his eyes, and said, 'Thank you.'
เขาแหงนมองพร้อมหยาดน้ำในดวงตาและกล่าว "ขอบคุณ"

I leaned over, began to pat his hand and said, 'I did not do this for you. God is here working through me to give you hope.'
ฉันโน้มตัวลง ตบมือเขา "ไม่ใช่ฉัน..แต่เป็นพระเป็นเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ ทรงประสงค์มอบความหวังให้คุณโดยผ่านทางตัวฉัน"

I started to cry as I walked away to join my husband and son. When I sat down my husband smiled at me and said, 'That is why God gave you to me, Honey, to give me hope..'
ฉันร้องไห้ ขณะที่เดินจากมาเพื่อสมทบกับสามีและลูกชาย .."ที่รัก, ผมรู้แล้วว่าทำไม พระเป็นเจ้าจึงส่งคุณมาให้ผม...เพื่อให้ผมมีความหวังไงล่ะ" สามีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่ฉันนั่งลง

We held hands for a moment and at that time, we knew that only because of the Grace that we had been given were we able to give.
เรากุมมือกันไว้ครู่หนึ่ง..ความเมตตาเป็นสิ่งที่เราสามารถหยิบยื่นออกไปได้เสมอ

We are not church goers, but we are believers.
ถึงเราจะไม่ใช่คนเคร่งครัดในการปฏิบัติศาสนกิจ แต่เราก็เป็นผู้มีความเชื่อ

That day showed me the pure Light of God's sweet love.
วันนั้น ทำให้ฉันได้ซาบซึ้งถึงความรักบริสุทธิ์แสนอ่อนหวานของพระเป็นเจ้า

I returned to college, on the last evening of class, with this story in hand.
ฉันเข้าเรียนชั่วโมงสุดท้ายก่อนจบการศึกษา..พร้อมกับเรื่องที่ได้เขียนไว้

I turned in 'my project' and the instructor read it.
ครูผู้สอน อ่าน "งาน" ที่ฉันส่ง
Then she looked up at me and said, 'Can I share this?'
เธอเงยหน้ามองและถามว่า ให้แบ่งปันได้หรือไม่
I slowly nodded as she got the attention of the class.
ฉันผงกศีรษะช้าๆ เมื่อ เธอ ขอให้ทุกคนในชั้นเรียน ตั้งใจฟัง

She began to read and that is when I knew that we as human beings and being part of God share this need to heal people and to be healed.
ขณะที่เธออ่าน ฉันได้ตระหนักว่าในฐานะเพื่อนมนุษย์ผู้ต้องแบ่งปันและต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของพระเป็นเจ้า เราต้องเป็นผู้หยิบยื่นการเยียวยารักษา ในขณะเดียวกันเราเองก็ต้องการได้รับการเยียวยารักษาด้วย

In my own way I had touched the people at McDonald's, my son,the instructor, and every soul that shared the classroom on the last night I spent as a college student.
สิ่งที่ฉันทำ ได้กระตุ้นจิตใจของทุกคน.. ทั้งผู้คนที่ร้านแมคโดนัล, ลูกชาย, ครูผู้สอน และ ทุกๆ ดวงจิตที่ได้รับการแบ่งปันในชั้นเรียนชั่วโมงสุดท้่ายของฉัน

I graduated with one of the biggest lessons I would ever learn:
ฉันจบการศึกษาด้วยบทเรียนยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยไ้ด้เรียนรู้มา

----------------------------------------------

UNCONDITIONAL ACCEPTANCE.
จงยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข
จงรัก อย่างไม่มีเงื่อนไข
To handle others, use your heart.

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กล่องกระดาษของพ่อ


Fw: นิทานสอนใจ : กล่องกระดาษของพ่อ
จาก: Panida_Cho@truecorp.co.th [Panida_Cho@truecorp.co.th]
ส่ง: 9 กุมภาพันธ์ 2010 13:50

อย่าลืมอ่านบทสรุปตอนท้ายนะ

มีพ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

"ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด"

ลูกชายไม่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

"ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดีและได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา" ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

"แล้วลูกทำอย่างไรเมื่อโดนเขาแกล้ง" ผู้เป็นพ่อถามต่อ

"ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสีย ๆ ของเขาบ้าง"

พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร

ทว่า พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

"ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง"

ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

"อีกสามวันจะเป็นวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก"

ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวันมาถึงเร็ว ๆ

ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และสีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

"พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว" ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

"ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจากพ่อเถิด" ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

"เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก" พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

"พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ" ลูกชายบอกกับพ่อของเขา "พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ"

ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

"พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน"

แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไปยุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

"ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ"

คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า "วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง"

ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า "ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก"

"ลูกต้องไปเขียนก่อน" พ่อบอกเสียงเรียบ "เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก

หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

"โอ้โห แค่สามเดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้" ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง

ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า "ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ"

"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว" แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว

ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ

"ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ"

แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า "เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูกจะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา"

"อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะกล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

บทสรุปของผู้แต่ง

ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำและยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้านและกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย

ขอบคุณนิทานดี ๆ จากหนังสือด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ค่ะ