วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้อคิดจากชายชราที่จากไป.


11 ตุลาคม 2010 14:27

ความดีก็เหมือนกางเกงใน
ต้องมีติดตัวไว้แต่ไม่ต้องเอามาโชว์

เมื่อได้อ่านแล้ว ผมรู้สึกคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปครับ
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป โดย พิษณุ นิลกลัด
สัปดาห์ สุดท้ายของปี 2548 ผมไป งานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขามา ยาว นาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทกันรักใคร่เสมือนญาติ
ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยา แบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า สวด สามวันแล้วเผา ไม่ ต้องบอกใครให้วุ่นวาย อย่า เศร้า

อย่า ร้องไห้ ทุกคน ต้องมีวันนี้ เพียง แต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน แล้ว ลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง

สวด สามวันเผา
งาน สวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน คือเมีย ลูก หลาน! เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคนนอก เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น คนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือ ยัง พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพ ที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงาน ธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่ง หัวหน้าหน่วย แต่ ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีต ผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึง ดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน - แม้ กระทั่งวันตาย
ผม สนิทกับเขา เพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม ที่ เขา เคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้ เมื่อ ตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็น นักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา
การมี โอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปี ทำให้ได้แง่คิดดีๆมา ใช้ในการ ดำรงชีวิต วัน หนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท เขา ปลอบใจผมว่า ' ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์ '
เขามี วิธีคิด ' เท่ๆ ' แบบผม คิดไม่ได้มากมาย เป็น ต้นว่า สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร คง เป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
ช่วง ปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบา หวาน หัวใจ ความดัน เกาต์ และไต ทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น แถม ยัง สามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวัน หยุดสุดสัปดาห์ โดยที่ตัวเองต้อง หิ้วถุง ปัสสาวะ ไป ด้วยตลอดเวลา เนื่อง จากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้
6 เดือน สุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป เวลา ลูกหลาน หรือเพื่อนของลูกรวมทั้ง ผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามี แรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาที ที่ พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน เรียก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไป เยี่ยม ไข้
ทุกคน พูดตรงกันว่า ' คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม ' พอ แขกกลับ ลูก หลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก เขา ตอบว่า ' ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก ' เขา เป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่ บ่อย ครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว แต่ สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุย ไม่จบ เรื่อง แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !
4 เดือน สุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัย เป็นแพทย์อินเทิร์น จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน แต่ อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า ' ขอให้ผมกลับบ้าน เถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง' คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะ พอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน '
หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่ กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
1 เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขา สูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อน ไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา แต่ แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก เวลา ลูก เมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า ' ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที ' เขา กะพริบตาสองทีทุกครั้ง !
เห็น แล้วทั้งดีใจและใจหาย เขา ยังรับรู้ แต่ พูดไม่ได้ นี่ กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง สิบ วันก่อนพลัดพราก ภรรยา กระซิบข้างหูว่า ' พ่อสู้นะ ' เขา ไม่กะพริบตาซะแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า ' สู้ ' เขา สู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ ชนิดที่หมอออกปากว่า ' คุณลุงแกสู้จริงๆ '
ตอน ที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึก ถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า ' โรค ภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย '
' แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป ' สอน ให้เรารู้ว่า... เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์ ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆและสิ่งร้ายๆในชีวิต จงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรา ยังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่ง จงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ!
หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาดอาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที..แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ ต่อไป ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
ความดีก็เหมือนกางเกงใน ต้องมีติดตัวไว้แต่ไม่ต้องเอามาโชว์

ไม่มีความคิดเห็น: