วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ข้อคิดจากชายชราที่จากไป.


11 ตุลาคม 2010 14:27

ความดีก็เหมือนกางเกงใน
ต้องมีติดตัวไว้แต่ไม่ต้องเอามาโชว์

เมื่อได้อ่านแล้ว ผมรู้สึกคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปครับ
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป โดย พิษณุ นิลกลัด
สัปดาห์ สุดท้ายของปี 2548 ผมไป งานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขามา ยาว นาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทกันรักใคร่เสมือนญาติ
ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยา แบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า สวด สามวันแล้วเผา ไม่ ต้องบอกใครให้วุ่นวาย อย่า เศร้า

อย่า ร้องไห้ ทุกคน ต้องมีวันนี้ เพียง แต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน แล้ว ลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง

สวด สามวันเผา
งาน สวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน คือเมีย ลูก หลาน! เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคนนอก เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น คนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่า เจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือ ยัง พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพ ที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงาน ธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่ง หัวหน้าหน่วย แต่ ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีต ผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึง ดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน - แม้ กระทั่งวันตาย
ผม สนิทกับเขา เพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม ที่ เขา เคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้ เมื่อ ตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็น นักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา
การมี โอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปี ทำให้ได้แง่คิดดีๆมา ใช้ในการ ดำรงชีวิต วัน หนึ่งเขารู้ว่าขโมยยกชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท เขา ปลอบใจผมว่า ' ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์ '
เขามี วิธีคิด ' เท่ๆ ' แบบผม คิดไม่ได้มากมาย เป็น ต้นว่า สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร คง เป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
ช่วง ปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบา หวาน หัวใจ ความดัน เกาต์ และไต ทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น แถม ยัง สามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวัน หยุดสุดสัปดาห์ โดยที่ตัวเองต้อง หิ้วถุง ปัสสาวะ ไป ด้วยตลอดเวลา เนื่อง จากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้
6 เดือน สุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป เวลา ลูกหลาน หรือเพื่อนของลูกรวมทั้ง ผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามี แรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาที ที่ พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน เรียก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไป เยี่ยม ไข้
ทุกคน พูดตรงกันว่า ' คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม ' พอ แขกกลับ ลูก หลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก เขา ตอบว่า ' ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก ' เขา เป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่ บ่อย ครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว แต่ สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุย ไม่จบ เรื่อง แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์ !
4 เดือน สุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัย เป็นแพทย์อินเทิร์น จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อยกลับบ้าน แต่ อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า ' ขอให้ผมกลับบ้าน เถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง' คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะ พอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน '
หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่ กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
1 เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขา สูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อน ไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา แต่ แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก เวลา ลูก เมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า ' ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที ' เขา กะพริบตาสองทีทุกครั้ง !
เห็น แล้วทั้งดีใจและใจหาย เขา ยังรับรู้ แต่ พูดไม่ได้ นี่ กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง สิบ วันก่อนพลัดพราก ภรรยา กระซิบข้างหูว่า ' พ่อสู้นะ ' เขา ไม่กะพริบตาซะแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า ' สู้ ' เขา สู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ ชนิดที่หมอออกปากว่า ' คุณลุงแกสู้จริงๆ '
ตอน ที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึก ถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า ' โรค ภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย '
' แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป ' สอน ให้เรารู้ว่า... เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์ ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆและสิ่งร้ายๆในชีวิต จงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรา ยังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่ง จงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ!
หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาดอาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที..แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ ต่อไป ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
ความดีก็เหมือนกางเกงใน ต้องมีติดตัวไว้แต่ไม่ต้องเอามาโชว์

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

พอใจในสิ่งที่เรามี

.. อ่านสั้นนิดเดียวแต่ได้ใจความดีมากๆความสุข สิ่งที่ใคร ๆ ต่างไขว่คว้า

คุณอยากได้กล้องถ่ายรูปแบบดิจิตอลสักตัวหนึ่งหลังจากหาข้อมูลมาหลายวันทั้งจากหนังสือพิมพ์และคนรู้จักก็ตัดสินใจได้ว่าจะซื้อยี่ห้อและรุ่นอะไร

คุณใช้เวลา ๒-๓ วันในการหาร้านที่ขายถูกที่สุดแล้วคุณก็พบร้านหนึ่งซึ่งขายต่ำกว่าราคาทั่วไปถึง ๒๕ %คุณตัดสินใจควักเงิน ๗ , ๕๐๐ บาท แล้วพากล้องใหม่กลับบ้านด้วยความปลื้มใจที่ได้ทั้งของดีและราคาถูก

แต่เมื่อกลับถึงบ้าน ตั้งใจว่าจะไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟังแต่กลับพบว่าเขาเพิ่งซื้อกล้องยี่ห้อและรุ่นเดียวกับคุณแต่ซื้อได้ถูกกว่านั้น คือจ่ายไปเพียง ๕ , ๐๐๐ บาทเท่านั้นคุณจะรู้สึกอย่างไร ? ยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่ ?

ถ้าคุณยิ้มไม่ออก ก็น่าถามตัวเองว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?ก็คุณเพิ่งได้ของใหม่มา แถมจ่ายน้อยกว่าคนทั่วไปอีกทั้งสินค้าก็มีคุณภาพและถูกใจคุณเสียด้วยทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่คุณน่าจะดีใจมิใช่หรือ ?แต่ทำไมคุณถึงเสียใจหรือถึงกับโมโหตัวเองเป็นเพราะคุณไปเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านใช่หรือไม่ ?

คุณมีกล้องดีที่น่าพอใจ แต่ทันทีที่คุณไปเปรียบเทียบกับกล้องของคนอื่นความรู้สึกไม่พอใจก็เข้ามาแทนที่ คนเราไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมีก็เพราะเหตุนี้จึงมีผู้กล่าวว่าการเปรียบเทียบเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์

เคยสังเกตหรือไม่ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยที่มักคิดว่ารถของคนอื่นดีกว่ารถของตัวแฟนของคนอื่นสวย(หรือหล่อ)กว่าแฟนของตัว ลูกของคนอื่นเก่งกว่าลูกของตัวและอาหารที่คนอื่นสั่งมักน่ากินกว่าจานของตัวถ้าคุณเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ชีวิตจะหาความสุขได้ยากแม้จะได้มามากเท่าไร ก็ไม่พอใจเสียที

อย่าว่าแต่ของที่ซื้อมาด้วยเงินของตัวเลย แม้ของที่เราได้มาฟรี ๆเช่น ได้โทรศัพท์มือ ถือมาฟรี ๆ ๑ เครื่องที่จริงน่าจะดีใจ แต่เมื่อรู้ว่าคนอื่นได้รับแจกรุ่นที่ดีกว่าและแพงกว่าจากเดิมที่เคยยิ้มจะหุบทันทีแถมยังจะทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่ได้รับแจกด้วยซ้ำนั่นเป็นเ พราะไปเปรียบเทียบกับคนอื่นใช่ไหม ?ทั้งๆ ที่ตนมีโชคแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนโชคไม่ดีเหมือนคนอื่น

ความทุกข์ของผู้คนสมัยนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะไปมองคนอื่นมากเกินไปเราจึงไม่เคยพอใจกับสิ่งที่มีหรือเป็นเสียที แม้ว่าจะสวยหรือหุ่นดีเพียงใดก็ยังรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่ ผมไม่สลวย ผิวคล้ำไปแถมวงแขนก็ไม่ขาวนวลเหมือนดาราแต่เมื่อใดที่เราหันมาพอใจกับสิ่งที่ตนมีมองเห็นแง่ดีของสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ความสุขจะเพิ่มพูนขึ้นมามากมายทันทีจิตใจจะเบาขึ้น และชีวิตจะหายเหนื่อยเพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องวิ่งไล่ล่าหาซื้อสิ่งของต่าง ๆ มากมายเพียงเพื่อจะได้มีเหมือนคนอื่นเขา

พอใจในสิ่งที่เรามีภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น

เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่กับตัว นี้คือเคล็ดลับสู่ชีวิตที่เบาสบายและสงบเย็น

วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความสุขเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง


ความสุขเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง
keeratima athipchatsiri [keeratimaa@yahoo.com]
27 สิงหาคม 2010 14:15
--------------------------


ความสุข เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ความสุขไม่ได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางที่ไปถึง

คุณบอกกับตัวเองว่า เมื่อได้แต่งงาน และมีลูก ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น แต่เมื่อมีลูก และลูกของคุณยังเล็กอยู่ คุณก็เกิดความรู้สึกว่าเมื่อเขาโตขึ้นเราคงมีความสุขและสบายขึ้น

แต่เมื่อลูกโตมากขึ้น จนย่างเข้าสู่วัยรุ่น คุณกลับรู้สึกไม่ได้ดั่งใจอีกครั้ง และเมื่อลูกๆ ผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปได้ คุณคิดว่า คุณจะมีความสุขมากขึ้นแต่คุณกลับบอกกับตัวเองอีกว่า จะรอให้ลูกๆ จัดการกับตัวของเค้าเองให้เรียบร้อยดีเสียก่อน

บางครั้งคุณคิดว่า ถ้าคุณมีบ้าน มีรถ มีวันหยุดพักร้อนนานๆและเมื่อถึงวันเกษียณอายุการทำงาน ชีวิตของคุณจะมีความสุขมากที่สุด แต่เมื่อเกษียนแล้วก็จริง แต่ทำไมถึงยังไม่มีความสุขสักที

ความสุขของชีวิตอยู่ที่ไหนกัน?

แท้จริงแล้ว ความสุขของชีวิต อยู่ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ ช่วงเวลาปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ความสุขมาหาเราในอนาคต

เราควรมีความสุข และพึงพอใจกับความสุขอยู่ในปัจจุบัน ชีวิตของมนุษย์ทุกคน ต้องมีสิ่งท้าทายเข้ามาอยู่ตลอดเวลาทั้งอุปสรรคต่างๆ หรือบททดสอบชีวิตอันยากเข็ญ แต่ในที่สุดเราก็จะต้องก้าวผ่านไป อุปสรรคกับชีวิตเป็นของคู่กัน

ดังนั้น เป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องเปิดรับความสุขและความพึงพอใจจากการเดินทางบนถนนแห่งชีวิตนี้ ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความสุข มากกว่าที่จะรอให้ถึงจุดหมายปลายทางก่อน แล้วถึงจะมีความสุขได้

เริ่มหยุดพูดกับตัวเองเสียทีว่าถ้าฉันลดน้ำหนักได้สัก 5 กิโล ฉันถึงจะมีความสุข ถ้าฉันได้แต่งงาน ฉันถึงจะมีความสุข ถ้าผมได้ซื้อบ้าน ผมถึงจะมีความสุขถ้ าผมได้เกิดเป็นลูกคนรวย ผมถึงจะมีความสุข

ถ้าคุณหยุดพูดถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ชีวิตของคุณก็จะมีความสุข และคุณจะรู้สึกพึงพอใจกับชีวิต

ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1. บอกชื่อคน 3 คน ที่รวยที่สุดในโลก
2. บอกชื่อนางงามจักรวาล 3 คนล่าสุด
3. บอกชื่อ ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล 3 คนล่าสุด
4. บอกชื่อนักแสดงนำชาย 3 คนล่าสุด ที่ได้รับรางวัลออสการ์

นึกไม่ออกใช่ไหม? ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่มีใครหรอกที่จะจดจำคนเหล่านี้ได้ทั้งหมด

คนที่ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ก็ล้วนล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา รางวัลต่างๆ เมื่อวางไว้นาน ก็จะถูกฝุ่นจับ แม้แต่ผู้ชนะก็จะถูกลืมในไม่ช้า

ตอบคำถาม ต่อไปนี้
1. บอกชื่ออาจารย์ 3 ท่านที่เคยช่วยเหลือคุณในเรื่องการเรียน
2. บอกชื่อเพื่อน 3 คนที่ช่วยเหลือคุณในยามที่คุณต้องการ
3. นึกถึงคน 3 คนที่ทำให้คุณรู้สึกว่า คุณได้เป็นคนพิเศษ
4. บอกชื่อคน 3 คนที่คุณอยากใช้เวลาด้วย

นึกออกง่ายกว่าใช่ไหม?

นั่นเป็นเพราะว่าคนที่มีความหมายต่อชีวิตคุณ ไม่ได้เป็นคนที่ต้องเป็นที่สุด ไม่ได้มีเงินมากที่สุด ไม่ต้องได้รับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะยังมีคนใกล้ตัวคุณ อีกหลายคนที่ห่วงใยคุณ คอยให้การดูแลคุณ และเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้น ก็จะคอยอยู่เคียงข้างคุณ...

ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะมีความสุข มากกว่าช่วงเวลา ณ ปัจจุบันนี้..

ใช้ชีวิตให้มีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบันเริ่มจากนาทีนี้เลย...

ลิงกับลา

FW: ลิงกับลา + อ่านไม่ถึง 3 นาที แง่คิดดีมากมาย
keeratima athipchatsiri [keeratimaa@yahoo.com]
30 สิงหาคม 2010 22:56
--------------------


หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา

วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อ ป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของ ต่างๆ ได้รับความเสียหาย

ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อย ๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีก ทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉย ๆ

สักครู่หนึ่ง หญิง ชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง

ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที หันมองลิงและลา เพื่อ ดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ

ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย เธอทั้งหลาย...

หลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วน เจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น! และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ

แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำของหญิงชาวบ้าน ที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสพการณ์ส่วนตัว เธอมองเห็นข้าวของเสียหาย และมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่าลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือลิง

ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจ ร่อง รอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน

เหตุที่องค์กรต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำที่ "ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์" ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจาตรงไปตรงมาแต่ไร้เลห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง

นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้ ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริง เพื่อ ควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Breakfast at McDonald's

เรื่องดี ดี ..ที่สมควรต้องแบ่งปัน
จาก: saisoothi.wanna@th.michelin.com [saisoothi.wanna@th.michelin.com]
ส่ง: 10 กุมภาพันธ์ 2010 18:49
----------------------------

รับเมื่อเย็นวาน อ่านแล้ว.. เพิ่งมีเวลาแปลให้คร่าวๆ (ถูก-ผิด ก็ อย่าถือสา แปล ตาม ที่ "ใจ" อ่าน ได้.. ) แปลเพื่อ หลานๆ จ้ะ.. ยังไงก็ต้องอ่านภาษาอังกฤษด้วยนะ..

วันที่ 17 กพ. วันพุธ รับ เถ้า .. เริ่มเทศกาลมหาพรตแล้ว มหาพรตปีนั้ มารวบรวมสตางค์ที่เหลือจากค่าขนมประจำวัน ใส่กระปุก เพื่อนำไปมอบให้ผู้ยากไร้ กันอีก ดี มะ มาขอรับ กระปุก..ได้ ที่ ป้า(แดงยัง)แจ๋ว..นะจ๊ะ

ได้ตัดช่วงสุดท้ายทิ้งมากมาย.. เพราะเป็นเรื่องโน้มน้าวใจให้ส่งต่อ เห็นว่า ข้อความเช่นนี้ แค่ส่งต่อก็ได้ความสุขเต็มหัวใจแล้ว จะต้องการสิ่งตอบแทนอื่นใดอีกทำไม... ขอให้ ความสุข อบอวล อยู่ รอบๆ ตัว.. ตลอดเวลา
-------------------------------------------------------------

Breakfast at McDonald's
อาหารเช้าที่ร้านแมคโดนัล

This is a good story and is true, please read it all the way through until the end! (After the story, there are some very interesting facts!):
เรื่องดี ดี นี้ เป็นเรื่องจริง, ขอให้อ่านจนจบ

I am a mother of three (ages 14, 12, 3) and have recently completed my college degree.
ฉันเป็นคุณแม่ลูก 3 และเพิ่งสำเร็จการศึกษามาหมาดๆ

The last class I had to take was Sociology.
เรียน สังคมวิทยา เป็นวิชาสุดท้ายก่อนจบ

The teacher was absolutely inspiring with the qualities that I wish every human being had been graced with.
อาจารย์ผู้สอนเปี่ยมล้นคุณภาพในการสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งฉันหวังว่ามนุษย์ทั้งมวลจะได้ชื่นชมยินดี

Her last project of the term was called, 'Smile.'
งานชิ้นสุดท้่ายที่เธอมอบหมาย.. ให้ชื่อว่า "รอยยิ้ม"

The class was asked to go out and smile at three people and document their reactions.
เธอขอให้นักเรียน ไป "ยิ้ม" กับคนนอกบ้านสามคน และเขียนบทความเกี่ยวกับปฏิกิริยาที่ได้รับ

I am a very friendly person and always smile at everyone and say hello anyway. So, I thought this would be a piece of cake, literally.
ฉันเป็นพวกมนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยม ยิ้มแย้มได้กับทุกคน และมักจะทักทายใครๆ อยู่้้เสมอ, ฉันก็เลยรู้สึกว่า งานชิ้นนี้ หมูสิ้นดี

Soon after we were assigned the project, my husband, youngest son, and I went out to McDonald's one crisp March morning.
หลังจากได้รับมอบหมายงานนี้ไม่นาน, ฉันพร้อมกับสามีและลูกชายคนเล็ก ได้ไปที่ร้าน แม็คโดนัล ในเช้าวันอันสดใสของเดือนมีนาคม

It was just our way of sharing special playtime with our son.
เป็นวันสบายๆ กับลูกชายของเรา

We were standing in line, waiting to be served, when all of a sudden everyone around us began to back away, and then even my husband did.
ขณะเข้าแถว เพื่อรอสั่งอาหาร.. แล้ว อยู่ๆ ทันใด ทุกๆ คน รอบตัวเราก็ถอยห่างออกไปจากแถว.. รวมสามีฉันด้วย

I did not move an inch... an overwhelming feeling of panic welled up inside of me as I turned to see why they had moved.
ฉันไม่ได้ขยับสักนิ้ว.. กับความรู้สึกตื่นตัวที่เข้าครอบงำ เมื่อหันไปมองว่าเขาถอยหนีสิ่งใดกัน

As I turned around I smelled a horrible 'dirty body' smell, and there standing behind me were two poor homeless men.
เมื่อหันไป ก็ปะทะเข้ากับกลิ่นเหม็นฉุนเฉียวของคนที่ไม่เคยได้อาบน้ำ.. ข้างหลังฉัน คน จร จัด(ยากไร้และไม่มีที่อยู่อาศัย)สองคน ยืนอยู่

As I looked down at the short gentleman, close to me, he was 'smiling'
ฉันก้มลงมองคุณผู้ชายที่ตัวเตี้ยกว่า ที่ ยืน ชิด... เขา ส่ง "รอยยิ้ม" มาให้

His beautiful sky blue eyes were full of God's Light as he searched for acceptance.
ดวงตาสีฟ้าใสสวยงามของเขา ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างสุกใสของพระเป็นเจ้า ผู้กำลัีงค้นหา การ เป็น ที่ ยอม รับ

He said, 'Good day' as he counted the few coins he had been clutching..
เขากล่าวว่า "สวัสดีครับ" ขณะนับเศษเหรียญไม่กี่เหรียญในอุ้งมือ(ประโยคนี้...้ไม่รู้จะแปลยังไงดี)

The second man fumbled with his hands as he stood behind his friend. I realized the second man was mentally challenged and the blue-eyed gentleman was his salvation.
ชายคนที่สองยืนอยู่ข้างหลังเพื่อนอย่างเร่งเร้า ฉันจึงตระหนักว่าชายคนที่สองนั้นเป็นพลังใจ เพื่อให้สุภาพบุรุษนัยน์ตาสีฟ้าเป็นผู้ฝ่าฟันวิกฤติ

I held my tears as I stood there with them.
ฉันยืนกลั้นน้ำตาอยู่ตรงนั้นกับเขาทั้งสอง

The young lady at the counter asked him what they wanted..
พนักงานขายที่เคาน์เตอร์ถามว่า เขาต้องการซื้ออะไร

He said, 'Coffee is all Miss' because that was all they could afford. (If they wanted to sit in the restaurant and warm up, they had to buy something. He just wanted to be warm)."
ขอแค่กาแฟ ครับ" , ก็เค๊ามีเงิน เพียงพอจะซื้อได้แค่นั้น (ถ้าคุณต้องการจะนั่งในร้านอาหารเพื่อความอบอุ่น คุณต้องซื้อของรับประทาน..เวลานี้ พวกเขาแค่ต้องการ ความ อบ อุ่น..เท่านั้นเอง)

Then I really felt it - the compulsion was so great I almost reached out and embraced the little man with the blue eyes.
ให้ตายซิ..เกิดแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ภายในใจ ฉันเกือบจะเข้าไปสวมกอด ชายร่างเล็กผู้มีนัยน์ตาสีฟ้า

That is when I noticed all eyes in the restaurant were set on me, judging my every action.
แล้วก็รู้สึกตัวว่า ดวงตาทุกคู่ของคนในร้านจ้องเป๋งมาที่ฉัน .. พิจารณา ดู ทุก ขณะ

I smiled and asked the young lady behind the counter to give me two more breakfast meals on a separate tray.
ฉัน "ยิ้ม" และแจ้งพนักงานขายที่หลังเคาน์เตอร์ ขอเพิ่มอาหารเช้าอีกสองชุด แยกใส่ถาดอีกใบ

I then walked around the corner to the table that the men had chosen as a resting spot. I put the tray on the table and laid my hand on the blue-eyed gentleman's cold hand.
แล้วฉันก็เดินอ้อมไปที่โต๊ะซึ่งชายทั้งสองเลือกเป็นจุดนั่งพัก..วางถาดอาหารให้บนโต๊ะ พร้อมกับวางมือลงบนมือเยียบเย็นของสุภาพบุรุษนัยน์ตาสีฟ้า

He looked up at me, with tears in his eyes, and said, 'Thank you.'
เขาแหงนมองพร้อมหยาดน้ำในดวงตาและกล่าว "ขอบคุณ"

I leaned over, began to pat his hand and said, 'I did not do this for you. God is here working through me to give you hope.'
ฉันโน้มตัวลง ตบมือเขา "ไม่ใช่ฉัน..แต่เป็นพระเป็นเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ ทรงประสงค์มอบความหวังให้คุณโดยผ่านทางตัวฉัน"

I started to cry as I walked away to join my husband and son. When I sat down my husband smiled at me and said, 'That is why God gave you to me, Honey, to give me hope..'
ฉันร้องไห้ ขณะที่เดินจากมาเพื่อสมทบกับสามีและลูกชาย .."ที่รัก, ผมรู้แล้วว่าทำไม พระเป็นเจ้าจึงส่งคุณมาให้ผม...เพื่อให้ผมมีความหวังไงล่ะ" สามีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่ฉันนั่งลง

We held hands for a moment and at that time, we knew that only because of the Grace that we had been given were we able to give.
เรากุมมือกันไว้ครู่หนึ่ง..ความเมตตาเป็นสิ่งที่เราสามารถหยิบยื่นออกไปได้เสมอ

We are not church goers, but we are believers.
ถึงเราจะไม่ใช่คนเคร่งครัดในการปฏิบัติศาสนกิจ แต่เราก็เป็นผู้มีความเชื่อ

That day showed me the pure Light of God's sweet love.
วันนั้น ทำให้ฉันได้ซาบซึ้งถึงความรักบริสุทธิ์แสนอ่อนหวานของพระเป็นเจ้า

I returned to college, on the last evening of class, with this story in hand.
ฉันเข้าเรียนชั่วโมงสุดท้ายก่อนจบการศึกษา..พร้อมกับเรื่องที่ได้เขียนไว้

I turned in 'my project' and the instructor read it.
ครูผู้สอน อ่าน "งาน" ที่ฉันส่ง
Then she looked up at me and said, 'Can I share this?'
เธอเงยหน้ามองและถามว่า ให้แบ่งปันได้หรือไม่
I slowly nodded as she got the attention of the class.
ฉันผงกศีรษะช้าๆ เมื่อ เธอ ขอให้ทุกคนในชั้นเรียน ตั้งใจฟัง

She began to read and that is when I knew that we as human beings and being part of God share this need to heal people and to be healed.
ขณะที่เธออ่าน ฉันได้ตระหนักว่าในฐานะเพื่อนมนุษย์ผู้ต้องแบ่งปันและต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของพระเป็นเจ้า เราต้องเป็นผู้หยิบยื่นการเยียวยารักษา ในขณะเดียวกันเราเองก็ต้องการได้รับการเยียวยารักษาด้วย

In my own way I had touched the people at McDonald's, my son,the instructor, and every soul that shared the classroom on the last night I spent as a college student.
สิ่งที่ฉันทำ ได้กระตุ้นจิตใจของทุกคน.. ทั้งผู้คนที่ร้านแมคโดนัล, ลูกชาย, ครูผู้สอน และ ทุกๆ ดวงจิตที่ได้รับการแบ่งปันในชั้นเรียนชั่วโมงสุดท้่ายของฉัน

I graduated with one of the biggest lessons I would ever learn:
ฉันจบการศึกษาด้วยบทเรียนยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยไ้ด้เรียนรู้มา

----------------------------------------------

UNCONDITIONAL ACCEPTANCE.
จงยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข
จงรัก อย่างไม่มีเงื่อนไข
To handle others, use your heart.

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กล่องกระดาษของพ่อ


Fw: นิทานสอนใจ : กล่องกระดาษของพ่อ
จาก: Panida_Cho@truecorp.co.th [Panida_Cho@truecorp.co.th]
ส่ง: 9 กุมภาพันธ์ 2010 13:50

อย่าลืมอ่านบทสรุปตอนท้ายนะ

มีพ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

"ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด"

ลูกชายไม่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

"ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดีและได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา" ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

"แล้วลูกทำอย่างไรเมื่อโดนเขาแกล้ง" ผู้เป็นพ่อถามต่อ

"ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสีย ๆ ของเขาบ้าง"

พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร

ทว่า พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

"ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง"

ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

"อีกสามวันจะเป็นวันเกิดครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก"

ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวันมาถึงเร็ว ๆ

ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และสีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

"พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว" ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

"ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจากพ่อเถิด" ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

"เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก" พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

"พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ" ลูกชายบอกกับพ่อของเขา "พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ"

ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

"พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน"

แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไปยุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

"ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ"

คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า "วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง"

ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า "ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก"

"ลูกต้องไปเขียนก่อน" พ่อบอกเสียงเรียบ "เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก

หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

"โอ้โห แค่สามเดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้" ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง

ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า "ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ"

"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว" แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว

ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ

"ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ"

แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า "เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูกจะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา"

"อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะกล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

บทสรุปของผู้แต่ง

ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำและยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้านและกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย

ขอบคุณนิทานดี ๆ จากหนังสือด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

บันทึกช่วยจำของ "เหลียงจี้จาง"

คุณพี่พิเชษฐ์ รุจิรัตน์ Pichet Ruchirat [pichet3330@hotmail.com]
สมาชิกเซอร์ร่ากลุ่มบ้านโป่ง ส่งเรื้องนี้มาให้อ่านและวิเคราะห์กัน

บันทึกช่วยจำของ "เหลียงจี้จาง" อ่านเถอะ ดีมากๆ

“เหลียงจี้จาง” เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกง และเป็นนักเขียนด้วย บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูก เฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆ ไป มุมมองของเขาบางเรื่อง (แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง...

ลูกรัก.. ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ
1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า
2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก
3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีก

ในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้ดี

1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับแม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วย เพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไป ลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป (น่ากลัวไหม)

2. ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจว่า นี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย

3. ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ 160 ปีเอง) หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่า ชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน

4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆ ตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆ จางหายไป.. อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไป และอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ

5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า ห ากไม่ขยันเรียนแล้วจะได้ดี ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้

6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน เมื่อลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์ จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง

7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่ นต้องทำดีต่อเรา เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น

8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้องเสียตังค์ (No free lunch)

9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวนแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันและแสนมีค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก (หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้)

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

11 Rules that the graduates did not learn in school


In a speech that Bill Gates gave to a high school graduating class, he spokeabout 11 Rules that the graduates did not learn in school.

Rule 1. Life is not fair - get used to it.

Rule 2. The world won't care about your self-esteem. The world will expectyou to accomplish something BEFORE you feel good about yourself.

Rule 3. You will NOT make $60,000 a year right out of high school. Youwon't be a vice-president with a car phone until you earn both.

Rule 4. If you think your teacher was tough, wait until you get a boss.

Rule 5. Flipping burgers is not beneath your dignity. Your grandparentshad a different word for burger flipping: they called it opportunity.Rule 6. If you mess up it's not your parents' fault, so don't whine aboutyour mistakes, learn from them.

Rule 7. Before you were born, your parents weren't as boring as they arenow. They got that way from paying your bills, cleaning your clothes andlistening to you talk about how cool you thought you were. So before yousave the rain forest from the parasites of your parents' generation, trydelousing the closet in your own room.

Rule 8. Your school may have done away with winners and losers, but lifeHAS NOT. In some schools, they have abolished failing grades and they'llgive you as MANY TIMES as you want to get the right answers. This doesn'tbear the slightest resemblance to ANYTHING in real life.

Rule 9. Life is not divided into semesters. You don't get summers off andvery few employers are interested in helping you FIND YOURSELF. Do that onyour own time.

Rule 10. Television is NOT real life. In real life people actually have toleave the coffee shop and go to jobs.

Rule 11. Be nice to nerds. Chances are you'll end up working for one.